ปรุงแครอททั้งหัว ต่อต้านมะเร็ง

บอร์ด พูดคุยเรื่องสุขภาพ
ตอบกลับโพส
สมุนไพรใกล้ตัว
Sr. Member
Sr. Member
โพสต์: 377
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 26, 2009 11:17 am

ปรุงแครอททั้งหัว ต่อต้านมะเร็ง

โพสต์ โดย สมุนไพรใกล้ตัว »

ปรุงแครอททั้งหัว ต่อต้านมะเร็ง

แครอทอุดมไปด้วยเบตาแคโรทีน แครอท 1 หัวจะให้ไวตามินเอในปริมาณที่ร่างกายต้องการเพียงพอสำหรับ 1 วัน และยังมีไวตามินซีด้วย แครอทมีคุณสมบัติช่วยรักษาโรคทางเดินหายใจ โรคผิวหนังและสายตา แครอทเป็นผักที่ได้ชื่อว่า ช่วยป้องกันมะเร็งอีกด้วย โดยเฉพาะมะเร็งในปอด เพราะเบตาแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxidant นอกจากนั้นน้ำแครอทยังช่วยรักษาโรคตับและมีประโยชน์ต่อคนเป็นดีซ่านด้วย
       
          คุณสมบัติต่อต้านมะเร็งของแครอทนั้นอาจมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าแครอทนั้นไม่ถูกหั่นเป็นชิ้นก่อนปรุง นักวิทยาศาสตร์พบว่าการต้มแครอทก่อนหั่นนั้น แครอทจะมีสารต่อต้านมะเร็งอย่าง falcarinol คงอยู่เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับแครอทที่ถูกหั่น และการทดลองโดยการป้อนให้หนูกิน falcarinol นั้นพบว่าหนูมีการพัฒนาของเนื้องอกน้อยมาก

          งานวิจัยนี้ทำโดยมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิลซึ่งจะถูกไปนำเสนอที่งาน NutrEvent โดยเป็นงานประชุมวิชาการด้านโภชนาการและสุขภาพ ซึ่งจะจัดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส
รูปภาพ
การหั่นแครอทนั้นจะเป็นการเพิ่มพื้นที่ผิวซึ่งจะทำให้สารอาหารนั้นหลุดออกมาอยู่ในน้ำที่ต้มได้มากขึ้นในขณะที่กำลังทำการปรุง ด้วยการที่ยังไม่หั่นแครอทและหั่นหลังจากต้มจะเป็นการบังคับให้สารอาหารและรสชาติคงอยู่ในแครอทไว้ ซึ่งจะมีประโยชน์สูงกว่าตลอดเวลา โดยสาร falcarinol จะยังคงอยู่ในแครอทเพิ่มขึ้น ซึ่งมหาวิทยาลัยเดนมาร์กได้ทำการค้นพบประโยชน์ของสาร falcarinol ในแครอทเมื่อ 4 ปีก่อน ผลที่ได้คือหนูที่ถูกให้อาหารที่ประกอบด้วยแครอทหรือ falcarinol นั้นจะพบว่ามีโอกาสน้อยกว่า 1 ใน 3 ที่จะพัฒนาเนื้องอกขึ้นมาในกลุ่มที่ให้อาหารธรรมดา

          ในคราวนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าแครอทนั้นถูกหั่นแล้วปรุง โดยในการศึกษาครั้งล่าสุดนั้นนักวิจัยพบว่าเมื่อแครอทถูกความร้อน ความร้อนจะไปฆ่าเซลล์ ดังนั้นเซลล์จึงสูญเสียคุณสมบัติในการกักเก็บน้ำเอาไว้ข้างในเซลล์ ทำให้เกิดการเพิ่มความเข้มข้นของ falcarinol ในขณะที่แครอทสูญเสียน้ำ อย่างไรก็ตามความร้อนยังทำให้ผนังเซลลล์อ่อนลง ทำให้สารที่ละลายน้ำอย่าง น้ำตาลและวิตามินซี สูญเสียออกไปยังผิวหน้าของเนื้อเยื่อ นำไปสู่การไหลออกของสารอื่นอย่างเช่น falcarinol โดยถ้าแครอทยังไม่ถูกหั่นก่อนต้มนั้น จะทำให้มีพื้นที่ผิวน้อยลง ทำให้เกิดการสูญเสียของสารอาหารน้อยลงด้วย

          นักวิจัยได้ทำการทดสอบที่เรียกว่า blind taste และพบว่าการรับประทานแครอทที่ต้มทั้งหัวนั้นมีความอร่อยกว่า โดยอาสาสมัคร 8 ใน 10 คนนั้นชอบผักทั้งต้นหรือหัวมากกว่าที่จะถูกหั่นก่อนปรุง นี้เป็นเพราะการเกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยน้ำตาลที่ทำให้เกิดความหวานในแครอทนั้นจะยังมีความเข้มข้นสูงอยู่ถ้าแครอทนั้นถูกปรุงเป็นอาหารทั้งหัว ซึ่งนี้เป็นวิธีการที่ง่ายหากต้องการที่จะได้รับสารอาหารจากผักมากขึ้น

ที่มา : http://www.vcharkarn.com/
jokerzero
Newbie
Newbie
โพสต์: 19
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 15, 2010 9:16 pm

Re: ปรุงแครอททั้งหัว ต่อต้านมะเร็ง

โพสต์ โดย jokerzero »

นักวิชาการโลกฟันธงอาหารก่อมะเร็ง ไทยพบแกงเลียง-แกงเหลือง ต้านได้

รูปภาพ

โรคภัยที่คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกมาเป็นอันดับหนึ่งนั้นคือโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งตามมาอยู่อันดับสอง หลายสิบปีมาแล้วที่วงการแพทย์ทั่วโลกพยายามหาสาเหตุของโรคมะเร็งแต่ละอวัยวะ เพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไข เพื่อสรุปให้ได้ข้อชัดเจนเสียทีว่าการบริโภคหรือระบบโภชนาการของมนุษย์โลก เป็นสาเหตุของมะเร็งแต่ละชนิดได้แค่ไหน

ล่าสุด หน่วยงาน เวิลด์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช ฟัน (World Cancer Research Fund) ร่วมกับ อเมริกัน อินสติติว ฟอร์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช (American Institue for Cancer Research) ได้ตัดสินและสรุปงานวิจัยกว่า 7,000 เรื่องที่ศึกษาวิจัยความสัมพันธ์ของอาหาร การออกกำลังกาย ภาวะน้ำหนักเกิน และความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โดยผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก

ชนิพรรณ บุตรยี่ นักวิชาการจากสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำงานวิจัยนี้มาบรรยายในงานประชุมเรื่อง ความท้าทายทางพิษวิทยาในศตวรรษที่ 21 ว่า งานวิจัยใช้ระยะเวลาสรุปผล 5 ปี โดยนำงานวิจัยขนาดใหญ่ที่ใช้กลุ่มตัวอย่างมากสุด ถึง 100,000 คน และบางชิ้นมีการเก็บข้อมูลนานนับ 10 ปี ใช้เงินทำวิจัยมหาศาล จึงจัดเป็นงานวิจัยที่น่าเชื่อถือและยึดเป็นข้อมูลทางวิชาการได้ ถือเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่ชัดแล้ว โดยเน้นเรื่องการกินและการออกกำลังกายเป็นหลัก แบ่งเป็น 3 ระดับ ระดับแรกเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่นอน เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอาหาร วิถีชีวิต การออกกำลังกาย สิ่งแวดล้อม โดยพบว่าการดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้า นม ทั้งวัยหมดประจำเดือนและก่อน มีประจำเดือน มะเร็งช่อง ปาก คอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (เฉพาะผู้ชาย) มีไขมันในร่างกายเกินจากค่าดัชนีมวลกายหลังจากอายุ 21 ปีไปแล้ว เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมหลังหมดประจำเดือน มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งไต และเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากระดับไขมันที่เป็นส่วนเกินแล้วยังแยกย่อยออกมาอีกว่า คนที่อ้วนลงพุง มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งลำไส้และทวารหนัก

สำหรับ อาหารที่คลางแคลงใจกันมานานพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ ในงานวิจัยนี้ฟันธงออกมาอย่างแน่ชัดแล้วว่าการบริโภคเนื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว แกะ แพะ ในปริมาณที่สูงเกินจะก่อมะเร็งลำ ไส้ มีคำแนะนำให้บริโภคเพียงสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม ควรหันมาบริโภคเนื้อสีขาว อย่างเนื้อไก่ หมู หรือปลา รวมทั้งเนื้อสัตว์ที่ผ่าน กระบวนการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก แฮม เบคอน อาหารเหล่านี้ต้องรมควัน บางครั้งต้องปรุงรส ใช้เคมีเพื่อให้สีรสชาติและมวลของอาหารอยู่ครบ เป็นอาหารที่กินแล้วก่อมะเร็งเช่นกัน ที่น่าตกใจพบว่า การบริโภคเบต้าแคโรทีนในรูปแบบอาหารเสริม จะเร่งให้เกิดมะเร็ง แต่เบต้าแคโรทีนจะให้ผลต่อร่างกายสูงสุดเมื่อบริโภคผักผลไม้สดๆ ที่มีสารเหล่านี้ ประเภทผลไม้สีเหลือง เช่น มะละกอ มะม่วง แครอท

ขณะ เดียวกันเมื่อมนุษย์ขึ้นสู่วัยหนุ่มสาว การออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดอย่างสม่ำเสมอวันละ 30 นาทีจนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ จะช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งเต้านม (โดยเฉพาะหญิงวัยหมดประจำเดือน) และมะเร็งเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากนี้ผลวิจัยเป็นที่แน่นอนแล้วว่า แม่ควรให้นมลูก และเด็กทารกควรที่จะได้รับน้ำนมแม่ สามารถลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้า นมทั้งก่อนและหลังหมดประจำเดือน ทั้งนี้ ควรให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกคลอดจนถึง 6 เดือนโดยไม่มีการให้อาหาร หรือเครื่องดื่มใดๆ เลย รวมทั้งน้ำด้วย

ต่อมาข้อสรุปลำดับที่ 2 เรียกว่าเป็นที่แน่นอนบ่งชัดเจนหากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ในข้อนี้ 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ในข้อแรกเชื่อได้ 90 เปอร์เซ็นต์ ในข้อนี้เน้นหนักด้านอาหารพบว่าการบริโภคผักใบ ลดความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งช่องปากคอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ผักกลุ่มหอมป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร การบริโภคผลไม้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด ช่องปาก คอหอย กล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร

ลำดับ ที่ 3 ลดหลั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ลงมาภายใต้เงื่อนไขเดียวกันคือความสัมพันธ์ของอาหาร วิถีชีวิต ในข้อนี้เรียกว่ามีความเป็นไปได้พบว่าการบริโภคอาหารที่มี ไลโคปีน ซึ่งมีมากในมะเขือเทศ ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก

นักวิชาการคนเดิมจากสถาบันโภชนาการ ม.มหดิล บอกอีกว่า แม้ สารไลโคปีนจะมีมากในมะเขือเทศ แต่ถ้าไม่ทำให้มะเขือป่นละเอียด บริโภคไปร่างกายก็ไม่ได้รับสารไลโคปีนอยู่ดี ดังนั้นการบริโภคมะเขือเทศสดแบบชิ้นๆ กับการบริโภคซอสมะเขือเทศ อย่างหลังได้รับไลโคปีนมากกว่า นอกจากในงานวิจัยเรื่องการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง นักวิชาการทั่วโลกแนะนำว่า ไม่ควรบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง เว้นแต่เจ็บป่วยหรือมีภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง

ปัจจุบัน พฤติกรรมการกินอาหารของคนไทยเปลี่ยนไป โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและคนวัยหนุ่มสาวบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น ที่เห็นได้ชัดจากวัฒ ธรรมการกินอาหารบุฟเฟ่ต์ ร้านเนื้อย่างหมูกระทะต่างๆ สอดคล้องกับงานวิจัยนี้ ข้อแนะนำของการกินเพื่อต้านมะเร็งในแบบไทยซึ่งแม้งานวิจัยยังไม่ได้ถูกเลือกจากนักวิชาการ เพราะเป็นงานวิจัยขนาดเล็ก ตามอัตภาพของทุนที่มี แต่น่าชื่อถือและนำไปใช้ได้

ในงานประชุมดังกล่าวข้างต้น ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล นักวิชาการจากสถาบันเดียวกัน ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง ศักยภาพต้านมะเร็งของตำรับอาหารไทย

ดร.สม ศรี กล่าวว่า ได้ศึกษาเรื่องนำสมุนไพรต่างชนิดมาทำเป็นน้ำพริกแกงต่างๆ ได้ทดลองสารสกัดของน้ำพริกแกง 4 ชนิด ได้แก่ น้ำพริกแกงป่า แกงเลียง แกงส้ม แกงเหลือง และน้ำต้มยำ นำมาเลี้ยงเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว พบว่า น้ำแกงป่า น้ำแกงเลียง และน้ำแกงส้ม มีศักยภาพให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่นในร่างกายได้มากถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่แกงเหลืองทำให้เซลล์มะเร็งตาย แบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่าเมื่อเทียบกัน ดีกว่าการใช้ยาถึง 2 เท่า สมุนไพรสำคัญในเครื่องแกงน่าจะมาจากกระเทียมและพริกรวมทั้งสมุนไพรอื่นๆ

จาก งานวิจัยนี้สรุปได้ว่า การบริโภคอาหารที่เป็นสำรับแบบไทย อาทิ แกงเลียงกุ้งสด ห่อหมกใบยอ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ข้าวสวย หรือ สำรับข้าวเหนียว ส้มตำใส่แครอท ไก่ทอดสมุนไพร ต้มยำ จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็ง สอดรับกับงานวิจัยระดับโลกที่ว่าอาหารการกินเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนห่างไกลมะเร็งได้อยู่


สนับสนุนเนื้อหา รูปภาพ

คำที่เกี่ยวข้อง  :  แกงเลียง    เนื้อสัตว์    แกงส้ม    สารก่อมะเร็ง  [url=http://ไลโคปิน    ไลโคปิน      มะเร็ง 
แก้ไขล่าสุดโดย jokerzero เมื่อ พฤหัสฯ. ก.ย. 30, 2010 4:04 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง